Umma 2022
หนังสยองขวัญที่เป็นการกล่าวถึงสายใยความสัมพันธ์แม่ลูกชาวเกาหลี ดูหนังสยองขวัญ เชื่อเรื่องที่อ่านว่า อมม่า ก็แปลว่า แม่ ในภาษาเกาหลีนั่นเอง หนังที่ตัวพ่อหนังสยองขวัญมานั่งเก้าอี้อำนวยการสร้างให้ พร้อมได้นักแสดงหญิงเชื้อสายเอเชียมาเป็นตัวแบก ดูหนังออนไลน์ ผลลัพธ์ที่ออกมาจะออกมาเป็นหนังผีที่ตราตรึงผู้ชมทั่วโลกได้มากแค่ไหนกันนะ
UMMA ผีแม่วิญญาณสยอง หนังฟรี เรื่องราวคาวมสยองที่ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวๆหนึ่ง เมื่อพวกเธอพบเจอกับวิญญานประหลาดที่ตามมาหลอกหลอนไม่เลิก และสิ่งที่เกิดขึ้นมันถูกเชื่อมโยงมาจากอดีต “อแมนด้า” ตัวของเธอเป็นโรคประหลาด ซึ่งเป็นโรคเข้าใกล้เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ได้เธออาศัยอยู่กับ “คริส” ลูกสาววัย17ปีที่พึ่งเรียนจบมัธยมปลาย ตอนนี้ชีวิตของพวกเธอกำลังมีความสุขเพราะทำงานที่รักคือการทำฟาร์มผึัง ดูหนังฟรี
และอยู่มาวันหนึ่งก็ได้มีกล่องปริศนาส่งมาที่บ้านของเขา คริสได้แอบเห็นตัวของ“อแมนด้า”ได้เก็บเอาเจ้ากล่องสิ่งนั้นลงไปซ่อนใต้ถุนบ้านและนั่นทำให้พฤติกรรมและอิริยาบถของแม่นั้นเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งนั้นมันทำให้ “คริส”สงสัยเป็นอย่างมากจึงได้แอบลงไปดูดูตรงที่แม่ของเขาซ่อนไว้ ต่อมาแม่ก็ยอมเล่าความจริงทุกอย่างให้คริสฟัง โดยต่อมาลูกสาวของเธอก็ได้รู้ว่าในกล่องใบนั้นมีอะไร ต่อมา “อแมนด้า” ก็ได้เอาของจากกล่องซิ้งนั้นไปฝัง เธอได้ถูกวิญญานแม่ครอบงํา
ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมในอเมริกาที่ดูเหมือนไม่มีที่ไหนเลย นำแสดงโดย Sandra Oh รับบทเป็น Amanda หญิงชาวเกาหลี-อเมริกันรุ่นแรกที่อาศัยอยู่กับ Chrissy (Fivel Stewart) ลูกสาววัยรุ่นที่โฮมสคูลของเธอ และสนับสนุนพวกเขา ทั้งสอง. พวกเขาเลี้ยงผึ้งและขายน้ำผึ้งออร์แกนิกให้กับนักชิมออนไลน์ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าของร้านที่เป็นมิตร (Dermot Mulroney) หากนั่นไม่ได้ทำให้พวกเขาแยกตัวจากโลกภายนอกมากพอ ก็ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า ผลของอาการแพ้ที่เห็นได้ชัดที่อแมนด้ามีต่อสิ่งใดๆ ทางไฟฟ้า ทั้งสองคนอาศัยอยู่นอกกริดอย่างสมบูรณ์จนถึงจุดที่มีผู้มาเยี่ยมไม่กี่คน พวกเขาต้องทิ้งโทรศัพท์ไว้ในรถก่อนเข้าไปเพื่อไม่ให้เกิดอาการ ใช่ Amanda และ Chrissy ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเต็มไปด้วยความรัก แต่การตั้งค่าทั้งหมดของพวกเขาแปลกมากจนเกือบจะรู้สึกเหมือนกำลังซ่อนตัวจากใครบางคนและไม่ต้องการให้ถูกพบ ไม่ใช่แค่เพราะความทรงจำอันน่าสยดสยองของ Amanda วัยเด็กที่ทำหน้าที่เป็นฉากเปิด
การคาดเดานั้นแม่นยำกับการมาถึงของอาของ Amanda (ทอม ยี) ซึ่งมาจากเกาหลีเพื่อแจ้งกับเธอว่าแม่ของเธอเสียชีวิตแล้ว เขาตำหนิเธอที่ทอดทิ้ง Umma (“แม่” ในภาษาเกาหลี) และไม่สอนภาษาเกาหลีของ Chrissy ก่อนที่จะมอบกระเป๋าเดินทางที่มีของใช้ส่วนตัวและศพของเธอ จากนั้นอแมนดาได้รับคำสั่งให้แยกตัวตามประเพณีอย่างถูกต้องเพื่อให้วิญญาณของแม่สามารถดำเนินต่อไปได้ จำเป็นต้องพูด Amanda เก็บกระเป๋าเดินทางของเธอไว้ในห้องใต้ดินแทนโดยปฏิเสธที่จะบอก Chrissy เกี่ยวกับสิ่งที่รบกวนจิตใจเธอแม้ในขณะที่ฝันร้ายและความทรงจำที่เธอคิดว่าเธออยู่อ่าวเริ่มกลับมาหลอกหลอนเธอ บังคับ สิ่งนี้ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างแม่และลูกสาวที่สนิทสนมกันซึ่งเริ่มต้นด้วยการค้นพบของอแมนดาว่าคริสซี่ได้แอบมองหาวิทยาลัยที่เธอสามารถเข้าเรียนได้และวิญญาณที่โกรธจัดของอุมมาถูกควบคุมเพื่อสร้างความหายนะให้กับลูกสาวที่เขารู้สึกว่าเขาทิ้งเธอ ตายคนเดียว
ในหลาย ๆ ด้าน “อุมมะ” เป็นละครที่น่าสนใจและทะเยอทะยานที่เต็มใจที่จะจัดการกับหัวข้อสำคัญ ๆ ตั้งแต่ด้านมืดของการดูดซึมไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกและวิธีมากมายที่สามารถใช้ได้ บาดแผล บางครั้งไม่ได้ตั้งใจ จากรุ่นสู่รุ่น แนวคิดเหล่านี้นำเสนอในชุดของฉากที่คิดขึ้นอย่างชาญฉลาดซึ่งเสริมด้วยการแสดงที่แข็งแกร่งจาก Oh, Stewart และ Odeya Rush ที่น่าเชื่อถือตลอดกาล รัชได้ฉากที่เฉียบคมในบทหลานสาวของมัลโรนีย์จากเมืองที่ผูกมิตรกับคริสซีผู้โดดเดี่ยว โดยลืมตาดูความเป็นไปได้ที่อแมนดาไม่เตรียมพร้อมเกี่ยวกับ “อาการแพ้” ของเธอเลย ในช่วงเวลาเหล่านี้ “อุมมะ” เป็นผลงานที่โดดเด่นและทำให้ฉันสนใจ
เรื่องราวของ อแมนด้า คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่อาศัยอยู่กับลูกสาวเพียงลำพัง ปลีกตัวมาใช้ชีวิตอย่างสันโดษที่บ้านไร่แถบชนบทที่ห่างไกลผู้คน กระทั่งวันหนึ่งได้มีชายชาวเอเชียแวะมาหาเธอที่บ้าน พร้อมกับแนะนำว่าเป็นลุงของเธอ ก่อนจะแจ้งข่าวการเสียชีวิตของแม่ชาวเกาหลีของเธอให้ได้ทราบ และทิ้งเถ้ากระดูกอัฐิเอาไว้ให้เธอได้เก็บเอาไว้ในฐานะทายาทเพียงคนเดียวที่มีอยู่
แต่การมาตั้งอยู่ของอัฐิผู้เป็นแม่ในครั้งนี้ กลับกระตุ้นให้อแมนด้านึกถึงเรื่องราวและเหตุการณ์ในอนาคตที่เลวร้าย ซึ่งเคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน และทำให้เธอตัดสินใจละทิ้งและหนีออกมาจากชีวิตของตัวเอง ก่อนจะมาเริ่มตั้งต้นชีวิตใหม่บนผืนแผ่นดินอเมริกา เปลี่ยนชื่อใหม่ ลบลืมกำพืชและชาติกำเนิดของตัวเองทั้งหมด เพื่อหวังจะไม่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับฝันร้ายนั้นอีก แต่มันกลับยังตามมาหลอกหลอนอีกครั้ง
หนังเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับและเขียนบทของ “ไอริส ชิม” นักสร้างหนังสาวเชื้อสายเกาหลี-อเมริกัน ที่แน่นอนว่าเธอได้หยิบเอากำพืชและวัฒนธรรมจากชาติกำเนิดของเธอเองมาถ่ายทอดออกมาเป็นความลี้ลับ ผ่านสายใยและสายสัมพันธ์ครอบครัวที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเอเชีย โดยหนังได้ใส่กิมมิกที่เป็นความเชื่อและประเพณีของเกาหลีเข้ามาแบบผิวเผิน ไม่ได้มีการอธิบายขยายความอะไรมากนัก เพราะมัวไปเน้นแต่จุดขายความหลอนและสะพรึงกลัวที่ยังไม่ค่อยจะเวิร์กสักเท่าไหร่มากกว่า
บอกตรง ๆ เลยว่า Umma ก็เป็นหนังสยองขวัญที่ใส่สูตรสำเร็จเดิม ๆ ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่สักจุดเดียว นอกจากการใส่ความเชื่อและความเป็นเกาหลีเข้าไปในเนื้อหาให้พอเป็นปมได้เท่านั้น จังหวะและการเดินเรื่องของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างเชย และเกือบจะไม่มีอะไรน่าสนใจ บทหนังก็แสนจะเชยและธรรมดามาก นี่นับว่าดีที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้เยิ่นเย้ออะไรมาก ยังพอเล่าเรื่องได้อย่างกระชับในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็ยังไม่สามารถขับความสนุกออกมาได้ในระดับที่น่าประทับใจสักเท่าไหร่
แน่นอนว่าการแสดงของ “แซนดร้า โอ” ไว้วางใจได้เลย เธอคือนักแสดงเจ้าบทบาทที่เราอาจจะไม่ค่อยเห็นเธอเล่นหนังสักเท่าไหร่ แต่ด้วยภาพลักษณ์ความเป็นนักแสดงเชื้อสายเอเชียของเธอ ที่จริง ๆ เธอกลายเป็นลูกเสี้ยวเอเชียไปเสียมากกว่า แต่ลีลาแอคติ้งของเธอก็เป็นจุดเด่นและจุดที่ช่วยพยุงหนังเอาไว้ได้ดี ฉากที่ต้องพูดภาษาเกาหลีสลับไปมาก็ถือว่าทำออกมาได้เนียน และไม่รู้สึกขัดเขินอะไรนัก ต้องยอมรับว่าเธอก็คือไฮไลต์ของหนังเรื่องนี้
Umma อาจจะมีโครงเรื่องความสยองที่ค่อนข้างจืดชืด ในมุมมองผู้ชมฝรั่งอาจจะไม่ได้รู้สึกอินอะไรกับความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกมากเท่ากับคนเอเชียหัวดำด้วยกัน แน่นอนว่าต่างที่ต่างวัฒนธรรมก็มีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อเหลือเกินว่าคนไทยและคนเอเชียที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ก็อาจจะรู้สึกหลอนและหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เพราะอย่างน้อย ๆ เราก็มีหลักคำสอนเกี่ยวกับการให้ความเคารพผู้อาวุโสกว่าในประเพณีเป็นทุนเดิม
ทั้งนี้ ยังแอบเห็น Umma ไม่วายจะใส่ลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์ของ “แซม ไรมี” เอาไว้ประปราย เพราะเขาก็คือโปรดิวเซอร์ที่เข้ามาดูแลภาพรวมให้กับหนังเรื่องนี้ นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดที่ช่วยยกระดับหนังเรื่องนี้ให้ตื่นเต้นขึ้นมาได้อีกหน่อย แม้ว่าจะเป็นเพียงองค์ประกอบเสริมที่ช่วยได้ไม่เยอะ แต่ก็นับว่าเป็นลายเส้นที่ยังเป็นจุดขายในหนังแนวนี้ได้เสมอ แม้ว่าจะซ้ำและไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เท่าไหร่ก็ตาม
เอาเป็นว่าโดยภาพรวมแล้ว Umma ก็ถือว่าเป็นหนังสยองขวัญที่พอดูได้เพลิน ๆ อาจจะยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบ แต่เชื่อเหลือเกินว่าคนเอเชียด้วยกันดูแล้วน่าจะอินกว่าฝรั่ง เพราะขนบประเพณีของเราคล้ายกันเป็นทุนเดิม นี่จึงกลายเป็นหนังที่มีความยาว 80 นาทีนิด ๆ ที่มีพอสร้างความหลอนได้ในระดับพอประมาณ ตกใจได้บ้างนิดหน่อย แต่อาจจะยังไม่ได้ทำให้รู้สึกประทับใจและน่าจดจำอะไรมากนัก เป็นหนังที่ดูพอฆ่าเวลาได้ก็เพลินดีอยู่เหมือนกัน
หนังสยองขวัญที่เป็นการกล่าวถึงสายใยความสัมพันธ์แม่ลูกชาวเกาหลี เชื่อเรื่องที่อ่านว่า อมม่า ก็แปลว่า แม่ ในภาษาเกาหลีนั่นเอง หนังที่ตัวพ่อหนังสยองขวัญมานั่งเก้าอี้อำนวยการสร้างให้ พร้อมได้นักแสดงหญิงเชื้อสายเอเชียมาเป็นตัวแบก ผลลัพธ์ที่ออกมาจะออกมาเป็นหนังผีที่ตราตรึงผู้ชมทั่วโลกได้มากแค่ไหนกันนะ
Umma อาจจะมีโครงเรื่องความสยองที่ค่อนข้างจืดชืด ในมุมมองผู้ชมฝรั่งอาจจะไม่ได้รู้สึกอินอะไรกับความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกมากเท่ากับคนเอเชียหัวดำด้วยกัน แน่นอนว่าต่างที่ต่างวัฒนธรรมก็มีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อเหลือเกินว่าคนไทยและคนเอเชียที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ก็อาจจะรู้สึกหลอนและหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เพราะอย่างน้อย ๆ เราก็มีหลักคำสอนเกี่ยวกับการให้ความเคารพผู้อาวุโสกว่าในประเพณีเป็นทุนเดิม
หนังเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับและเขียนบทของ “ไอริส ชิม” นักสร้างหนังสาวเชื้อสายเกาหลี-อเมริกัน ที่แน่นอนว่าเธอได้หยิบเอากำพืชและวัฒนธรรมจากชาติกำเนิดของเธอเองมาถ่ายทอดออกมาเป็นความลี้ลับ ผ่านสายใยและสายสัมพันธ์ครอบครัวที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเอเชีย โดยหนังได้ใส่กิมมิกที่เป็นความเชื่อและประเพณีของเกาหลีเข้ามาแบบผิวเผิน ไม่ได้มีการอธิบายขยายความอะไรมากนัก เพราะมัวไปเน้นแต่จุดขายความหลอนและสะพรึงกลัวที่ยังไม่ค่อยจะเวิร์กสักเท่าไหร่มากกว่า
UMMA ผีแม่วิญญาณสยอง เรื่องราวคาวมสยองที่ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวๆหนึ่ง เมื่อพวกเธอพบเจอกับวิญญานประหลาดที่ตามมาหลอกหลอนไม่เลิก และสิ่งที่เกิดขึ้นมันถูกเชื่อมโยงมาจากอดีต “อแมนด้า” ตัวของเธอเป็นโรคประหลาด ซึ่งเป็นโรคเข้าใกล้เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ได้เธออาศัยอยู่กับ “คริส” ลูกสาววัย17ปีที่พึ่งเรียนจบมัธยมปลาย ตอนนี้ชีวิตของพวกเธอกำลังมีความสุขเพราะทำงานที่รักคือการทำฟาร์มผึัง
และอยู่มาวันหนึ่งก็ได้มีกล่องปริศนาส่งมาที่บ้านของเขา คริสได้แอบเห็นตัวของ“อแมนด้า”ได้เก็บเอาเจ้ากล่องสิ่งนั้นลงไปซ่อนใต้ถุนบ้านและนั่นทำให้พฤติกรรมและอิริยาบถของแม่นั้นเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งนั้นมันทำให้ “คริส”สงสัยเป็นอย่างมากจึงได้แอบลงไปดูดูตรงที่แม่ของเขาซ่อนไว้ ต่อมาแม่ก็ยอมเล่าความจริงทุกอย่างให้คริสฟัง โดยต่อมาลูกสาวของเธอก็ได้รู้ว่าในกล่องใบนั้นมีอะไร ต่อมา “อแมนด้า” ก็ได้เอาของจากกล่องซิ้งนั้นไปฝัง เธอได้ถูกวิญญานแม่ครอบงํา
Umma เกือบจะสร้างความคล้ายคลึงให้กับ Turning Red ของ Pixar อย่างแน่นอน จริงอยู่ นั่นเป็นการเปรียบเทียบที่แปลกที่จะทำ แต่ตอนนี้มีภาพยนตร์และรายการที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเอเชียและโดยเฉพาะอย่างยิ่งมรดกเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นผลงานโดยตรงของภาพยนตร์อย่าง Parasite และรายการอย่าง Squid Game ที่กระทบกระแสวัฒนธรรมของสหรัฐฯ ทุกคนคงเดาได้
เรื่องนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Amanda ซึ่งใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบในฟาร์มในอเมริกากับคริสลูกสาวของเธอ เธอยังคงถูกหลอกหลอนโดยความทรงจำของแม่ที่เหินห่างในเกาหลี เนื่องจากกังวลว่ารูปแบบการเป็นพ่อแม่ของเธอจะเลียนแบบแม่ของเธอUmma โยนความกลัวกระโดดอย่างจับจดหรือสร้างภาพปลอมเพียงเพื่อให้ผู้ชมดำเนินต่อไป แต่ถึงแม้จะน้อยกว่า 90 นาที ก็ไม่มีอะไรให้ยึดถือมากนัก ความกลัวการกระโดดไม่กี่ตัวที่ปรากฏขึ้นนั้นไม่ได้ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี และแม้แต่ของปลอมเล็กน้อยก็ยังรู้สึกเหนื่อยและเหนื่อย แม้จะเป็นไปตามมาตรฐานของประเภทนี้ปัญหาอีกอย่างของอุมมะคือมันเปิดเผยได้เร็วแค่ไหน เราเห็นการคุกคามที่เป็นปรปักษ์กันมากในช่วงต้นของภาพยนตร์ และจากจุดนั้น โครงเรื่องที่อยู่นิ่งก็ไม่เคยเข้าสู่เกียร์สูงเพื่อพิสูจน์เหตุผลนั้น การแก้ปัญหาก็เป็นปัญหาเช่นกัน การปิดล้อมทุกอย่างโดยปราศจากความขัดแย้งมากเกินไป ช่วงเวลาแห่งการไตร่ตรองอย่างเงียบ ๆ ระหว่างส่วนเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่ายินดี แต่คุณตระหนักดีว่าไม่ใช่การหยุดพักจากความสยองขวัญอย่างแท้จริง เนื่องจากไม่มีเรื่องสยองขวัญใด ๆ ที่เกิดขึ้นตลอด 80 นาที แม้จะเร่งรีบและเรื่องราวที่เรียบง่ายสุด ๆ แต่ Umma ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่คุณจะจดจำไปอีกนาน เป็นภาพยนตร์ที่สิ้นเปลืองศักยภาพและในที่สุดก็กลายเป็นหนังสยองขวัญข้ามรุ่นที่น่าจดจำ
เป็นหนังสยองขวัญที่พอดูได้เพลิน ๆ อาจจะยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบ แต่เชื่อเหลือเกินว่าคนเอเชียด้วยกันดูแล้วน่าจะอินกว่าฝรั่ง เพราะขนบประเพณีของเราคล้ายกันเป็นทุนเดิม นี่จึงกลายเป็นหนังที่มีความยาว 80 นาทีนิด ๆ ที่มีพอสร้างความหลอนได้ในระดับพอประมาณ ตกใจได้บ้างนิดหน่อย แต่อาจจะยังไม่ได้ทำให้รู้สึกประทับใจและน่าจดจำอะไรมากนัก เป็นหนังที่ดูพอฆ่าเวลาได้ก็เพลินดีอยู่เหมือนกัน