The Gray Man ล่องหนฆ่า
ดูหนังบู๊ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะติดตามเรื่องราวของ Six (Ryan Gosling) นักฆ่าล่องหนที่ทำงานให้กับ CIA เขาเป็นอดีตนักโทษที่ถูกใช้ให้ทำงานเพื่อแลกกับอิสระภาพ เขาทำงานให้กับหน่วยงานมาเป็นเวลานาน จนในวันหนึ่ง
เขาได้รับภารกิจให้สังหารชายปริศนาคนหนึ่ง หนังฟรี และก่อนที่เขาจะสังหาร ชายคนนั้นก็ได้บอกความลับที่อยู่เบื้องหลังของหน่วยงานเขา พร้อมกับให้หลักฐานสำคัญไว้กับเขา ด้วยเหตุนี้ ทำให้เขาถูกตั้งค่าหัว และถูกผู้มีอำนาจส่งนักฆ่าจากทั่วโลกเพื่อไล่ตามเขา โดยนักฆ่าเหล่านั้น นำทีมโดย Lloyd Hansen (Chris Evans) นักฆ่ารับจ้างสุดโรคจิตที่สนใจเพียงแค่ผลลัพธ์ ดูหนังออนไลน์ ต่อให้มีคนบริสุทธิ์โดนลูกหลงเขาก็ไม่สน สุดท้ายแล้ว Six จะสามารถหนีรอดจากการไล่ล่าครั้งนี้ได้หรือไม่ ทุกคนต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง ดูหนังฟรี
หมายเลข 6 เป็นนักฆ่าลับในโครงการเซียร์ร่าของรัฐบาล จนวันหนึ่งเขาพบว่าคนที่เขาฆ่าคือนักฆ่าในโครงการเดียวกัน และผู้ควบคุมโครงการในปัจจุบันมีความลับซ่อนอยู่ เพื่อหาความจริงเขาจึงถูกทีมนักฆ่าตามล่าโดยต้องหาวิธีช่วยชีวิตของตัวประกันที่เคยมีบุญคุณต่อเขาไปพร้อมกัน
แม้ตัวหนังจะอิงจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันในปี 2009 ที่สร้างชื่อให้ มาร์ก เกรียนีย์ (Mark Greaney) แจ้งเกิดจนกลายเป็นนักเขียนแนวสายลับผู้ได้รับไม้ต่อให้สืบทอดตำนานของปรมาจารย์อย่าง ทอม แคลนซี (Tom Clancy) ในเวลาต่อมา แต่กว่ามันจะถูกดัดแปลงมาสู่หนังก็ผ่านมาถึงหนึ่งรอบนักษัตร แน่นอนว่าพล็อตหรือมุกอะไร ๆ ก็คงไม่สดใหม่อีกต่อไปแล้ว ว่ากันตามจริงดูตัวอย่างหนังก็แทบรู้เรื่องทั้งหมดแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องราวของสายลับนักฆ่าไร้นามที่ถูกลบประวัติเหลือเพียงตัวเลขเป็นชื่อแทนตัว มันก็มีเสน่ห์มาเสมอล่ะนะ
ยิ่งเมื่อเน็ตฟลิกซ์ทุ่มทุนสร้างกว่า 200 ล้านดอลลาร์มากสุดที่เคยทำมา โดยดึงทีมผู้สร้างคิวทองจาก ‘Avengers: Endgame’ อย่างสองพี่น้อง แอนโธนี และ โจ รุสโซ (Anthony and Joe Russo) มากำกับ แม้ว่าผลงานก่อนหน้าของพวกเขาทั้งคู่อย่าง ‘Cherry’ (2021) ที่ขนาดได้ ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) พระเอกจากหนัง ‘Spider-man: No Way Home’ (2022) มารับบทนำให้บริการสตรีมมิงของ Apple TV+ จะพูดว่าประสบความสำเร็จได้ไม่เต็มปากก็ตาม
แต่ใครได้ดูก็ต้องยอมรับว่าหนังมีความเนี้ยบอยู่มาก ทว่าการตีความนิยายให้เล่าสนุกอาจไม่ค่อยได้ผลดีเท่าไรนัก กับเรื่องนี้ก็เช่นกันเหมือนสองพี่น้องรุสโซจะหาทางข้ามความเชยของตัวนิยายด้วยโปรดักชันเข้าว่าแทน
ซึ่งโปรดักชันที่ว่าแค่ไล่เรียงมาก็แทบเอาอยู่แบบไม่ต้องไปดูหนังจริงก็รู้ อย่างการเอาพระเอกมากเสน่ห์แห่งยุคสองคนมาปะทะกันให้สาว ๆ คลั่งตายทั้ง ไรอัน กอสลิง (Ryan Gosling) ในบทนักฆ่าหมายเลข 6 ที่ต้องหนีการตามล่าจาก คริส อีแวนส์ (Chris Evans) ที่ปรับลุกขรึมจากกัปตันอเมริกามารับบท ลอยด์ แฮนเซน นักล่าหนวดจิ๋มปากแจ๋วจนแปลกตา เอาว่าแค่นี้ก็ต้องดูแล้ว
แต่ยังไม่พอหนังยังมี อนา เดอ อาร์มาส (Ana de Armas) ที่ฮอตปรอทแตกจาก ‘No Time to Die’ (2021) มารับดอกไม้หนึ่งเดียวของหนังถึงจะไม่ได้โชว์เซ็กซี่มากเท่าหนังก่อนหน้าของเธอ แต่ใบหน้าสวย ๆ ของเธอก็ยังทำงานได้ดีสำหรับคอหนังหนุ่มที่ไม่ได้พิศวาสคู่นำชาย
และคอหนังยุค 90s ก็ยังไม่ได้เหงาเพราะผู้สร้างก็ไปดึงดารารุ่นใหญ่ที่ไม่เห็นหน้าในหนังบล็อกบัสเตอร์แบบนี้นานแล้วนับแต่ ‘Eagle Eye’ (2008) หรืออาจถึง ‘Armageddon’ (1998) เลยด้วยซ้ำอย่าง บิลลี บ็อบ ธอร์นตัน (Billy Bob Thornton) มารับบทอดีตครูฝึกของโครงการนักฆ่าให้หายคิดถึง
ไม่พอถ้าหนังดูขายตะวันตกมากไป ทีมสร้างยังไปชวน ธานัช (Dhanush) นักแสดงและนักร้องคนดังของบอลลีวูดมาชิมลางโกอินเตอร์ครั้งแรกกับบทบาทนักฆ่าชาวเอเชียที่มีฉากซูเปอร์ฮีโรแลนดิ้งหนึ่งเดียวในหนังอีกด้วยคือเอาใจคนดูฝั่งตะวันออกด้วย
และถ้าหนังจะดูเข้มเกินไปก็ยังมีหนูน้อย จูเลีย บัตเทอร์ส (Julia Butters) ที่เคยต่อปากต่อคำกับ ลีโอนาร์โด ดิแคพริโอ (Leonardo DiCaprio) ในหนัง ‘Once Upon a Time in… Hollywood’ (2019) จนเป็นมีมฉากจำหนึ่งมาแล้วมารับบทตัวประกันที่หมายเลข 6 ต้องตามช่วยด้วย
ก่อนได้ดูตั้งความหวังกับเรื่องนี้ไว้พอสมควร ตั้งความหวังตั้งแต่เห็นชื่อผู้กำกับ และเหล่านักแสดงในเรื่องที่มีแต่คนดังๆ ทั้งนั้น แต่เมื่อได้ดูจริงๆ กลับกลายเป็นว่าแอบผิดหวังเล็กน้อย เอาหล่ะ มาเริ่มรีวิวกันเลยดีกว่า อย่างแรกเลยคือเรื่องบท บทของเรื่องนี้ธรรมดามาก ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน พล็อตหลักคือไล่ล่ากันทั้งเรื่อง เน้นแอ็คชั่นหนักๆ
และค่อยๆ เฉลยความจริงออกมาทีละนิดในระหว่างทาง และด้วยความที่บทมันไม่มีอะไรมาก เลยรู้สึกว่าไม่ได้น่าติดตามอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อนะครับ ดูได้เรื่อยๆ เพลินๆ แค่หนังดูนักแสดงและฉากแอ็คชั่นก็คุ้มแล้ว ส่วนด้านการดำเนินเรื่อง ถือว่าทำได้ดีอยู่ระดับหนึ่ง เล่าเรื่องไว กระชับ เข้าใจง่าย เอาง่ายๆ คือสูตรสำเร็จของหนังแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์เลย คอหนังแอ็คชั่นน่าจะหลงรักเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
ต่อมาด้านการแสดง อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ว่าเรื่องนี้เต็มไปด้วยนักแสดงมากฝีมือ แต่กลายเป็นว่ามันแอบรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย พระเอกอย่าง Ryan Gosling ก็แสดงได้ดีนะ ฉากแอ็คชั่นก็เท่ดี แต่ส่วนตัวผมรู้สึกว่าตัวละครมันขาดเสน่ห์ไปนิดนึง ไม่ได้น่าจดจำมากเท่าไหร่ ส่วน Chris Evans ที่รับบทเป็นวายร้าย ผมก็มองว่ามันยังไม่ถึง เขาไม่ได้ดูร้ายหรือโรคจิตจนน่ากลัวอย่างที่คาดไว้ ส่วนตัวผมมองว่าตอนเขาแสดงเป็นตัวร้ายใน Knives Out (2019) นั้นออกมาดีกว่าเรื่องนี้ ตอนนั้นดูมีเสน่มากกว่าและน่าจดจำมากกว่า เรื่องนี้แค่ดูเป็นคนบ้าๆ
แต่ไม่ได้ดูน่าเกรงขามหรือน่ากลัวเท่าไหร่ มาต่อกันที่คนที่ผมชอบบ้าง นั่นคือ Ana de Armas เรื่องนี้เธอได้บู๊แบบจัดเต็มเลย หลังจากที่เธอเคยโชว์ฉากแอ็คชั่นมาแล้วใน No Time to Die (2021) มาเรื่องนี้เธอมีบทเยอะขึ้นมาก และก็แสดงได้ดีด้วย สวยเหมือนเดิม ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็แสดงได้ดีกันทุกคน ในด้านการแสดงไม่มีอะไรจะติมากนัก โดยรวมคือทุกคนทำได้ดีตามมาตรฐานทั่วไป
ด้านงานภาพและการโปรดักชั่น ส่วนนี้บอกเลยว่าจัดเต็มจริงๆ มุมกล้องต่างๆ ดีมาก ค่อนข้างสร้างสรรค์พอสมควรเลย ฉากแอ็คชั่นก็ทำออกมาได้ดี แม้ว่าจะเวอร์ไปมากก็ตาม ถ้าถามว่าเวอร์ขนาดไหน ก็คงประมาณหนังตระกูล Fast เลย อย่างฉากบนเครื่องบินนี่ผมไม่ซื้อจริงๆ เก่งขนาดนี้ไม่น่าใช่แค่นักฆ่าแล้ว ควรไปเป็นซูเปอร์ฮีโร่มากกว่า ฮ่าๆๆ แต่ก็เข้าใจได้ เน้นความันส์และบันเทิงล้วนๆ งานภาพสวยพอตัว แม้จะมีบางฉากที่ CGI ดูลอยๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมคือยอดเยี่ยมแล้ว ฉากที่ชอบมากๆ คือฉากตอนต้นเรื่องที่สู้กันตรงที่จุุดพลุ กับฉากที่สู้กันกลางเมือง 2 ฉากนี้เดือดมากจริงๆ และด้วยเรื่องนี้เป็นหนังทุนสูง โปรดักชั่นจึงจัดให้เราแบบเต็มเปี่ยม เล่นใหญ่สุดๆ ซึ่งถ้าใครชอบแอ็คชั่นเน้นเอามันส์ล้วนๆ น่าจะหลงรักหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก สรุปโดยรวมคือ เป็นหนังแอ็คชั่นเวอร์ๆ ที่เน้นความสะใจ ความบันเทิง ดูแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เอาเป็นว่าไปลองดูกันเองดีกว่า
หนังยังประสบความสำเร็จในการออกแบบฉากแอ็กชันที่ตื่นตาตื่นใจ เลือกสถานที่ถ่ายทำไปหลายประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป เริ่มจากไทยในตอนเปิดเรื่องที่เป็นฉากลอบฆ่าในภัตราคารหรูในวันปีใหม่ที่โชว์การต่อสู้ในคลับที่คนพลุกพล่านแสงไฟสาดไปมา มีฉากเอาตัวรอดบนเครื่องบินที่กำลังตกสุดตื่นตา ฉากการต่อสู้กลางลานน้ำพุสาธารณะกลางวันแสก ๆ ที่ตัวร้ายรวมกันมาอย่างกับเกมคอมพิวเตอร์ และจบด้วยฉากการต่อสู้บนรถรางไฟฟ้าถล่มเมือง คือวินาศสันตะโรวอดวายสะใจมาก ๆ เอาว่าแค่นี้ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ไคลแมกซ์ครึ่งหลัง หนังก็โคตรน่าดูแล้วสำหรับคอบู๊
ที่ว่ามาทั้งหมดมันเป็นสูตรสำเร็จที่หนังออกมายังไงคนก็ต้องพูดถึง แต่ในส่วนความประทับใจอาจต้องบอกว่าภาพรวมของหนังออกจะเนือยไปสักหน่อย ไม่ใช่ว่าหนังทำฉากต่อสู้ไม่เร้าใจแต่กลับกันเสียอีกหลายฉากทำได้ตื่นตาตื่นใจมากยิ่งฉากตะลุมบอนกลางเมืองในปราก นี่คือเอาใจแฟนเกมอย่าง ‘Call of Duty’ หรือ ‘The Division’
แบบดูแล้วขนลุกเลยทีเดียว แต่มันดีเป็นฉาก ๆ ไปถ้าหนังแบ่งเป็นแชปเตอร์ตามฉากแอ็กชันเราอาจมาจัดอันดับพูดคุยแยกเป็นฉาก ๆ กันสนุกได้เลย บางฉากอาจ 10/10 ด้วยซ้ำ แต่พอพูดถึงหนังทั้งเรื่องด้วยเนื้อหาที่ไม่มีอะไรเลยแต่ดันยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่า มันทำให้เรารู้สึกว่ามากเกินไปนานเกินไปไอ้ที่เคยสนุกก็เริ่มหมดมนต์ ยิ่งครึ่งหลังหนังลดดีกรีความเข้มข้นลงนิดหน่อยด้วยแล้ว พอไม่พาอารมณ์ร่วมให้พุ่งทะยานขึ้นไปอีก มันก็กลายเป็นความน่าเบื่อไปแทน
อย่างไรก็ตาม ลางเนื้อชอบลางยา หมายถึงบางคนอาจไม่ถูกรสกับวิธีเล่าแบบนี้ แต่บางคนก็อาจถูกชะตาและชอบมาก ๆ ตลอดความยาวของหนังก็ได้ แต่โดยส่วนตัวก็ต้องบอกว่านี่เป็นหนังที่มีแต่ความยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ และยิ่งใหญ่เข้าว่าดูเพลินในเวลาว่างแต่ไม่ได้อยากทิ้งความประทับใจอะไรให้สักเท่าไรนัก