Senior Year ปีสุดท้าย
ดูหนัง Senior Year’ เป็นหนัง Netflix ที่น่าสนใจและแตกต่างอีกเรื่องของปีนี้เลย เพราะว่าตัวหนังตั้งใจและตั้งทรงให้เป็นหนังแนววัยรุ่น หรือแนวไฮสคูลแห่งปี 2022 ที่มีกลิ่นอายคล้ายว่าจะหลุดมาจากยุค 90’s ดูหนังตลก ยังไงยังงั้นแหละ รวมทั้งตัวพล็อตที่ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว และน่าจะเรียกความน่าสนใจสำหรับคนดูที่เคยผ่านวัยว้าวุ่นรุ่นยุค 2000 มาแล้วโดยเฉพาะ หนังเรื่องนี้จะพาย้อนกลับไปในบรรยกาศยุค 2000 ที่ใครหลายๆคนอาจคิดถึงช่วงเวลานั้น แต่ตกเป็นกลุ่มคนที่เติบโตผ่านช่วงยุค 2000 มาก่อนนะ
หนังฟรี เรื่องราวของ สเตฟานี่ ที่ย้อนกลับไปในปี 2002 หล่อนคือสาวฮอตประจำโรงเรียนมัธยม เป็นกัปตันทีมเชียร์ลีดเดอร์ เดตอยู่กับควอร์เตอร์แบ็กทีมฟุตบอล และกำลังจะย่างก้าวขึ้นไปเป็นราชินีงานพรอม แต่ทุกอย่างปลิวหายไปในพริบตา หนังใหม่ เมื่อเธอประสบอุบัติเหตุพลัดตกมาจากการต่อตัวท่าเชียร์และทำให้บาดเจ็บอาการโคม่า เธอต้องนอนไปตลอดไม่ต่างกับเจ้าหญิงนิทรา ดูหนัง
กระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไป 20 ปี เธอฟื้นคืนสติกลับขึ้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ดูหนังออนไลน์ แต่บัดนี้อายุของเธอก็ปาไป 37 แล้ว ดูหนังฟรี เธอรู้สึกว่าช่วงเวลาชีวิตของตัวเองขาดหายไปและอะไร ๆ รอบตัวก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก เธอจึงเลือกที่จะกลับมาไปเรียนที่โรงเรียนต่อให้จบ ดูหนัง ในฐานะนักเรียนชั้นปีสุดท้ายของภาคเรียน และแน่นอนว่าเธอจะต้องสานความฝันที่ยังจำไม่เลือนแม้จะหลับไปนานแสนนาน ดูหนังออนไลน์ คือเธอจะต้องได้เป็นราชินีงานพรอม
หนังแบบ Senior Year เป็นอะไรที่เต็มไปด้วยสูตรสำเร็จเดิม ๆ พล็อตเรื่องก็เชยแสนเชย แต่…หนังสามารถพลิกแพลงและบิดประเด็นใส่ความสนุกเข้ามาได้อย่างเมามันส์ตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อได้ตัวแม่สายฮา เรเบล วิลสัน มาแบกรับหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อย่างสายฮาหน้าตายแบบมืออาชีพ กลายเป็นสมการที่ลงตัวออกมาเป็นหนังเรื่องนี้
นี่คือผลงานชิมลางทำหนังใหญ่เรื่องแรกในรอบหลายปีของ “อเล็กซ์ ฮาร์ดแคสเซิล” ผู้กำกับหนุ่มที่ฝึกปรือฝีมือจากซีรีส์ดังหลายเรื่อง และยังได้ทีมนักเขียนทีมใหญ่ “แอนดรูว์ คนัวร์”, “อาเธอร์ ไพล์ลิ” และ “แบรนดอน สก็อต” ที่ได้นำเอาองค์ประกอบของหนังวัยรุ่นดัง ๆ ในยุค 2000s มาเป็นส่วนผสมของเรื่อง และแน่นอนว่าหนังสามารถดึงเอาไฮไลต์เด่น ๆ ในยุคเพลงป็อปรุ่งเรืองมาใช้ได้อย่างจัดจ้าน
ความน่าสนใจหลักที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นกลิ่นอายของบรรยากาศช่วงปลายยุค 90’s และยุคปี 2000 นี่แหละ เป็นหนังที่มีความเป็นสูตรสำเร็จที่มีกลิ่นอายจากหนังไฮสคูลยุค 90’s ทั้ง ‘Mean Girls’ (2004) และ ‘Clueless’ (1995) รวมทั้งยังมีกลิ่นอายไซไฟ ปมของผู้ใหญ่ที่ต้องใช้ชีวิตเด๋อ ๆ ท่ามกลางวัยรุ่นอย่าง ‘Freaky Friday’ (2003) รวมทั้งความเป็นหนังฟีลกู้ดทั้งหลายแหล่ที่เราคุ้นเคยกันดี
รวมทั้งใครที่อยู่ในยุคมิลเลนเนียล หรือที่เรียกว่าคนเจนวาย ก็น่าจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยากครับ โดยเฉพาะองค์ประกอบต่าง ๆ ในหนัง ทั้งงานโปรดักชัน สิ่งของ ไดอะล็อก และ Pop Culture ของยุคนั้นมาขยี้ แซะ คุมโทน รวมทั้งการนำเอาเพลงฮิตยุค 90’s จนถึง 2000 มาประกอบหนังแบบจัดเต็ม ชนิดที่ว่าดักแก่คนวัย 30 ให้ดูแล้วร้องตามได้อย่างไม่ขัดเขินเลยแหละ
หนังเรื่องนี้อาจจะถูกใจและตรงใจกับคนเจนวายเป็นอย่างดี เพราะวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่สอดแทรกอยู่ในหนังเรื่องนี้เป็นการกระตุ้นความทรงจำในยุคนั้นได้ดีมาก คนที่เติบโตมากับช่วงเวลานั้นน่าจะอินได้ดีกว่า และหยอดมุกเสียดสี ทั้งตลกและทั้งทะลึ่งเข้าไว้ได้อย่างแยบยล แนะนำเลยว่าหนังเรื่องนี้ควรจะเลือกรับชมแบบเวอร์ชั่นพากย์ไทย เพื่อเพิ่มอรรถรสความสนุกยิ่งขึ้น
อีกจุดที่น่าสนใจก็คือตัวพล็อตที่ปูเอาไว้ได้น่าสนใจ โดยเฉพาะความโก๊ะกังของสเตฟานี ที่ต้องตื่นขึ้นมากลายเป็นสาววัยเกือบ 40 หลังจากนอนเป็นผักมา 20 ปี เจ๊แกก็เลยต้องเจอ Culture Shock แห่งยุค 2022 เข้าอย่างจัง ทั้งเทคโนโลยีสมาร์ตโฟน ประเด็นทางสังคมที่เปลี่ยนไป การบุลลีเป็นสิ่งต้องห้าม การเต้นเชียร์ลีดเดอร์ด้วยท่วงท่าลูบไล้เรือนร่างตัวเองกลายเป็นสิ่งน่าเกลียด รวมทั้งการมาของโซเชียลมีเดียที่ทำให้คนยุคนี้ สนใจยอด Followers มากกว่าการสั่งสมพาวเวอร์จากการมีเพื่อนในโรงเรียนเยอะ ๆ เหมือนในสมัยก่อน
การเล่าเรื่องความแตกต่างของคนในแต่ละยุคสมัยได้อย่างดีมาก ๆ โดยเฉพาะมุมมองของการแก่งแย่งแข่งขัน ชนชั้นวรรณะของคนในโรงเรียน ตัวหนังก็เลยเล่าด้วยการให้สเตฟานีต้องต่อสู้กับลูกสาวของทิฟฟานี อดีตคู่แข่ง ซึ่งถ้ามองกันดี ๆ จริง ๆ แล้วลูกสาวของทิฟฟานี เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจการแข่งขันอะไรทำนองนี้แล้ว แต่ทิฟฟานีนี่แหละที่ยุให้ลูกเป็นตัวหมากแก้แค้นแทนแม่ คล้ายจะสื่อว่า มีแต่คนรุ่นแม่ ๆ นี่แหละที่โตแต่ตัว แต่ไม่ยอมมูฟออนเรื่องงี่เง่าพวกนี้เสียที
ความช็อกของสเตฟานี ที่ต้องตื่นมาเจออะไรแบบนี้ รวมทั้งการต่อพิสูจน์ตัวเองเพื่อทำตามความฝัน ทั้ง ๆ ที่อาจถูกมองว่าเป็นความเฉิ่มเด๋อเกินวัยของผู้หญิงวัยเกือบกลางคน ที่สวนทางกับเด็กยุคใหม่ที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น การเลือกปฏิบัติที่แม้จะเบาบางลง แต่ก็ยังมีอยู่ รวมทั้งการรักษาบรรยากาศของความเท่าเทียมในโรงเรียน ที่บางครั้งก็ชวนให้อึดอัดเล็ก ๆ สิ่งเหล่านี้เป็น Conflict ของหนังที่ปูเอาไว้ได้น่าสนใจมาก
แต่กลับกลายเป็นว่า ในองก์ที่ 2 ตัวหนังกลับมี Conflict เข้ามารุมล้อมสเตฟานีเต็มไปหมด เหมือนคนเขียนบทพยายามจะเพิ่มสารลงไปในหนังให้ได้มากที่สุด ทั้งปมเกี่ยวกับความรักในอดีต คู่แข่งอย่าง ‘ทิฟฟานี’ (Zoe Chao) ที่พยายามผลักดันลูกสาวของเธอ ความเป็นเพื่อนแท้ ฯลฯ โน่นนั่นนี่ จนทำให้เรื่องประเด็นการพิสูจน์ตัวเองของสเตฟานีกลับถูกปมเหล่านี้เบียดบังและรุมแย่งความสนใจไปเสียหมด
ทำให้ตัวเรื่องดูจะเล่าเรื่องอะไรก็ไม่สุดเลยสักทาง แถมยังทำให้การดำเนินเรื่อง การกระทำของตัวละคร และมุกตลกต่าง ๆ ที่อุตส่าห์ปูเรื่องและรักษากลิ่นอายแบบหนังยุค 2000 ไว้ได้ ถูกทำลายลงจนกลายเป็นเพียงความเด๋อด๋า และการกระทำที่ชวนให้งงจนต้องร้องว่าอีหยังวะของแต่ละตัวละคร จนไม่รู้ว่าจะตลกหรือฮาไปด้วยได้ยังไง
และนั่นก็พลอยทำให้บทบาทของสเตฟานี วัย 37 ปี (Rebel Wilson) ที่แม้จะถนัดถนี่กับการเล่นมุกทะลึ่งตึงตังได้อย่างแพรวพราว แต่กลายเป็นว่า พอมาอยู่กับความอีหยังวะเหล่านั้น มุกทะลึ่งของเธอกลับไม่ค่อยทำงาน และบทบาทของเธอเองก็ดูจะเจือจาง จนไม่ค่อยน่าเอาใจช่วยสักเท่าไหร่ ตรงกันข้าม ‘แองกอรี ไรซ์’ (Angourie Rice) ที่แสดงเป็นสเตฟานีในวัยสาวเฉพาะในองก์แรก กลับดูจะฉายแววโดดเด่น และดูน่าสนใจกว่าเสียอย่างนั้น
เรเบล วิลสัน ก็ยังคงเป็นแม่..ด้วยสไตล์และเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนของเธอเอง และบทนี้ก็เหมือนกับเกิดมาเพื่ออะไรแบบนั้น เธอยังงัดเอาใช้ทักษะการแสดงตลกอันเป็นจุดขายของเธอออกมาได้อย่างมืออาชีพ เธอเข้าถึงบทบาทนี้และขับเสน่ห์ของตัวละครออกมาช่วยยกระดับหนังได้อีกด้วย แม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยพล็อตซ้ำ ๆ เหมือนกับได้ดูหนังเมื่อ 10-20 ปีที่แล้วก็ตาม แต่การแสดงของเธอก็ยังพยุงหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้ดีเลย
Senior Year ไม่ใช่แค่หนังตลกมุกหยาบ ๆ เท่านั้น เพราะแก่นแท้ของหนังเรื่องนี้นั้น ก็พยายามถ่ายทอดและเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่ขาดหายไป ช่วงเวลาที่เป็นรอยต่อของแต่ละเจเนอเรชั่น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงไปของสังคมและยุคสมัย สารที่หนังได้พยายามสื่อออกมาในหนังเรื่องนี้อาจจะเป็นการตีโจทย์ที่ไม่ได้แปลกใหม่ใด ๆ แต่ก็สอนวิธีการเรื่องรู้และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างจริงใจ
เอาเป็นว่าโดยภาพรวมแล้วนั้น Senior Year ก็อาจจะเป็นหนังตลกมุกบ้า ๆ บอ ๆ ที่ทำให้คนดูขำจนเหนื่อยไปทั้งเรื่อง ด้วยลีลาการแสดงที่เป็นพรสวรรค์ของ เรเบล วิลสัน ที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น ถึงพล็อตต่าง ๆ จะค่อยข้างซ้ำซากและเชยแสนเชยก็ตาม แต่ในความเฉิ่มเบ๊อะต่าง ๆ นั้นก็ยังได้สอดแทรกแง่คิดเอาไว้ไม่มากก็น้อย อย่างน้อย ๆ ก็สอนในคนเราได้รู้จักที่จะเติบโตไปอีกระดับ
แม้ตัวหนัง ‘Senior Year’ จะชวนให้ร้องว่า ‘อีหยังวะ’ ไปตลอดทาง แต่โดยรวมก็ยังถือว่าเป็นหนังฟีลกู้ดฟีลใจที่มีมุกห่าม ๆ ให้พอบันเทิง และมีสารเข้ม ๆ เอาไว้ให้เก็บไปคิดต่อในแบบฉบับหนัง Coming-Of-Age ด้วย
เพียงแต่ว่าอาจจะต้องอาศัยเคี้ยวละเอียด ๆ แล้วคายชาน ทิ้งเยอะอยู่สักหน่อย ไม่ถึงกับเป็นหนังที่ห้ามพลาด แต่น่าจะเหมาะกับคนยุคมิลเลนเนียลเอาไว้ถอดสมอง หาของกินมาเคี้ยวไปดูไปเพลินๆ ก็ไม่ได้เสียหายอะไร