What's happening?

Video Sources 1773 Views Report Error

  • Watch trailer
  • Day shift (2022) งานต้องล่า
Day shift (2022) งานต้องล่า

Day shift (2022) งานต้องล่า

USAnull Min.PG-13
Your rating: 0
6 1 vote

Synopsis

Day Shift งานต้องล่า

หนังแวมไพร์ ดูหนังบู๊ ที่มาในแนวตลกขำๆ กับพล็อตบ้องตื้นมากว่าตัวเอกนักล่าแวมไพร์กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินอย่างหนักเพื่อจ่ายค่าเทอมลูกให้ทันตามกำหนด หนังฟรี ในระหว่างนั้นก็โดนแวมไพร์ตัวแม่ไล่ล่า เพราะดันไปฆ่าลูกของมัน

Day Shift งานต้องล่า

หนังล่าแวมไพร์ ดูหนังออนไลน์ ที่เหมือนจะกลายเป็นอีกหนึ่งสูตรขายของหนังจอเล็กของสตรีมมิ่งเจ้านี้ ล่าสุดกับ “Day Shift งานต้องล่า” หนังแอคชั่นภารกิจล่าเดือด ดูหนังฟรี ที่เป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ มาพร้อมกับพล็อตเรื่องเดิม ๆ ที่หยิบเอาสูตรสำเร็จมาใส่เอาไว้แบบที่ยังไงก็ดูได้สนุกและบันเทิง เพียงแต่ว่ามันจะซื้อใจคนดูได้ขนาดนั้นหรือไม่นะ

เรื่องราวของ บั๊ด คุณพ่อชนชั้นแรงงานที่ทำงานหนักเพื่อหวังให้ลูกสาวมากไหวพริบมีชีวิตที่ดี แต่งานทำความสะอาดสระว่ายน้ำในซานเฟอร์นานโดแวลลีย์ที่แสนจำเจเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า เพราะแหล่งรายได้ที่แท้จริงของเขามาจากการล่าและฆ่าแวมไพร์ให้กับสหภาพนักล่าแวมไพร์นานาชาติ และมีเวลาแค่กะกลางวันเท่านั้นที่เขาจะมีโอกาสได้ออกล่าและรับจ็อบนี้

นี่คือผลงานการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรกของ “เจ.เจ. เพอร์รี่” สตั้นท์แมนผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 3 ทศวรรษ แน่นอนงานชิ้นแรกของเขาก็จัดได้ว่าน่าพอใจในระดับตามมาตรฐานดี เขาได้หยิบเอาประสบการณ์ที่สะสมมาอย่างยาวนานมาประกอบร่างกลายออกมาเป็นหนังเรื่องนี้ แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คงต้องยกให้งานออกแบบฉากสตั้นท์ต่าง ๆ ในหนัง คงจะต้องบอกว่าเลยว่า…เขาดีไซน์ออกมาได้ค่อนข้างดีสมราคา

Day Shift งานต้องล่า

ใช่แล้ว…สิ่งที่เด่นที่สุดของ Day Shift คือฉากแอคชั่นต่าง ๆ นานา ที่อาจจะไม่ได้ใส่เข้ามาเยอะจนเอียน แต่ก็ปะปนรสชาติได้ดี มีทั้งฉากสตั้นท์ไล่ล่าแวมไพร์ ที่ออกแบบลีลาอ่อนช้อยของแวมไพร์ได้อย่างจินตลีลาเกินบรรยายมาก ๆ อีกทั้งยังมีฉากไล่ล่าซิ่งทั่วเมืองที่เหมือนจะหยิบสูตรแบบเดียวกับที่ใช้ในหนังตระกูลฟาสต์อะไรทำนองนั้น แม้จะเป็นองค์ประกอบที่หนังทำได้ดี แต่ก็ดูเหมือนว่าหนังจะมีส่วนดีก็เพียงแค่นั้น

น่าเสียดายที่ Day Shift ก็ยังมาพร้อมกับสูตรสำเร็จแบบเดิม ๆ เหมือนซื้อของสำเร็จมาจับวาง ๆ ตั้งแต่ต้นเรื่องไปถึงปลายทาง บทหนังยังค่อนข้างธรรมดา สารภาพเลยว่าหนังยังไม่ค่อยสร้างแรงดึงดูดใจให้เกาะจอรอดูอะไรขนาดนั้น เป็นหนังแอคชั่นที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ ก็เป็นจังหวะที่ก็พอดูได้สนุกและยังบันเทิงได้ดีอยู่ แต่หนังก็ไม่ได้มีโมเมนต์และสิ่งที่ทำให้รู้สึกน่าจดจำอะไรได้เลย เมื่อดูจบ..ก็คือผ่านเลยไป

แน่นอนว่า Day Shift อาจจะรอดตายหวุดหวิดเพราะแคสติ้งนักแสดงโดยแท้ “เจมี่ ฟ็อกซ์” ก็คือนางแบบของหนังเรื่องนี้แบบนัมเบอร์วัน นี่คือหนังของเขา แต่บทและคาแรกเตอร์ของเขาก็แทบจะไม่มีอะไรใหม่เลย ก็เป็นคขบถสู้ชีวิตแต่สู้ชีวิตกลับอะไรทำนองนั้น แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพของเขา ก็สามารถขับเคลื่อนหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อยู่หมัด เช่นเดียวกับ “สนูปด็อก” ที่มาน้อยแต่จัดจ้าน ออกมาแต่ละซีน..ย่อมต้องมีซีน

Day Shift งานต้องล่า

สูตรสำเร็จของหนังแวมไพร์

“เดฟ ฟรังโก” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวขโมย เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่หนังไม่สามารถขุดศักยภาพของเขาออกมาให้เฉิดฉายได้กว่านี้ ทั้งที่เขาคือนักแสดงที่เปี่ยมล้นไปด้วยของดี แต่ในเรื่องนี้เขาก็ใส่มาเต็ม เพียงแต่ยังไม่มีพื้นที่ให้เขาสักเท่าไหร่ ขณะที่บทบาทตัวละครอื่น ๆ ที่ร่วมสมทบเข้ามานั้น ก็แทบจะถูกกลืนไปกับบทหนังที่แสนจะเรียบง่าย และไม่ได้มีอะไรพิเศษขึ้นมาได้เลย

เอาเป็นว่าโดยสรุปแล้ว Day Shift ก็มาในลูกเล่นและลูกไม้แบบเดิม ๆ เหมือนหยิบเอาสูตรสำเร็จของหนังแวมไพร์หรือหนังซอมบี้มาผสมและปรุงแต่งใหม่ ที่แน่นอนว่ามันสร้างอรรถรสและรสชาติที่สนุกดี แต่ไร้ความแปลกใหม่ที่ทำให้รู้สึกว้าวอะไรเท่าไหร่ จุดดีของหนังก็น่าจะเป็นการดีไซน์ท่วงท่าสตั้นท์ที่ทำออกมาสมกับประสบการณ์ของผู้กำกับ ทีมนักแสดงก็ถือว่าช่วยกันแบกหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้เยอะ เพียงแต่เมื่อดูจบ..หนังกลับยังไม่ได้สร้างความน่าจดจำอะไรให้ได้สักเท่าไหร่

เจมี่ ฟ็อกซ์รับบทพ่อชนชั้นแรงงานที่ทำงานหนักเพื่อหวังให้ลูกสาวมากไหวพริบของเขามีชีวิตที่ดี แต่งานทำความสะอาดสระว่ายน้ำในซานเฟอร์นานโดแวลลีย์ที่แสนจำเจกลับเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า เพราะแหล่งรายได้ที่แท้จริงของเขามาจากการล่าและฆ่าแวมไพร์ให้กับสหภาพนักล่าแวมไพร์นานาชาติ

ไม่มีอะไรแปลกใหม่

ตัวเรื่องตอนแรกดูเหมือนจะพยายามเซ็ตโลกแวมไพร์แบบใหม่ที่มีสมาพันธ์นักล่า เอาเขี้ยวแวมไพร์มารับเงินรางวัลได้ โดยนักล่าเป็นอาชีพปกติที่หาเช้ากินค่ำเหมือนคนทั่วไป ออกล่าแวมไพร์ทุกวันไม่หยุดหย่อน แต่ทั้งเรื่องก็มีแค่นั้นจริงๆ เพราะนอกจากนี้แล้วตัวเรื่องก็ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรลึกกว่านี้เลย ทั้งๆ ที่ในตัวอย่างพยายามขายว่าเป็นทีมงานจอห์นวิคมาทำ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในผู้เขียนภาค 3 ที่ชื่อ Shay Hatten แค่นั้นเอง (มีคนเขียนบทหลายคน) ส่วนผู้กำกับก็หน้าใหม่เรื่องแรกชื่อ J.J. Perry มีเครดิตเป็นสตันท์แมนมาก่อนเท่านั้น

Day Shift งานต้องล่า

ความที่ตัวเรื่องกลวงจนไม่มีอะไรให้พูดถึงมากหรือมีความคิดริเริ่มแปลกใหม่ให้กับหนังแวมไพร์เลย นอกจากแค่แวมไพร์พวกนี้ทาครีมกันแดดสูตรใหม่ทำให้ออกมาสู้ตอนกลางวันได้เท่านั้น (สมาพันธ์นักล่านี่เรื่องอื่นๆ ก็มีหลายเรื่องแล้ว) ที่เหลือก็เลยมีแต่ฉากแอ็กชั่นไล่ฆ่าแวมไพร์ลูกกระจ๊อก ก็อารมณ์ราวๆ จอห์นวิคเลยคือมาเป็นฝูง แต่กรูกันมาเพื่อให้โดนยิงตายง่ายๆ ไม่ได้มีความลุ้นระทึกอะไรทั้งสิ้นเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่บอสก็ตายแบบกระจอกงอกง่อยมาก ตัวเรื่องได้แค่ได้ความมันส์สะใจจากฉากฆ่าอยู่บ้าง มีฉากตรงกลางเรื่องดูสนุกกว่าฉากอื่นอยู่นิดนึงกับฉากต้นเรื่องแวมไพร์ป้าแก่อึดทรหดแล้วก็มีท่าทางแปลกๆ ชวนหัวเราะได้มากจริง เพราะนี่เป็นหนังตลก แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีฉากฆ่าแวมไพร์ตลกอะไรมากกว่านี้สักเท่าไหร่แล้ว ไปเน้นที่บทพูดตลกๆ กับตัวละครในเรื่องมากกว่า

หน้าหนังของ ‘Day Shift’ ชวนให้นึกถึงหนังแนวคู่หูที่มีฉากหลังเป็นโลกแนวแฟนซีอย่าง ‘Men in Black’ (1997) ‘R.I.P.D.’ (2013) หรือหนังเน็ตฟลิกซ์อย่าง ‘Bright’ (2017) ที่เหมือนว่าจะต้องมีตัวเก๋ามาดดุเข้มประกบกับเด็กใหม่ที่ยังละอ่อนฝีมือแต่สร้างบรรยากาศเฮฮาได้ดี ซึ่งหนังในหมวดนี้ไม่ว่าจะทำดีหรือห่วยมันก็ต้องจัดวางไว้ในชั้นนั่งเหยียดขาเอนหลังนั่งดูในเวลาว่างแบบขอไม่ต้องคิดอะไรให้มากอยู่แล้ว และถ้าคุณกำลังอยู่ในอารมณ์แบบที่ว่าหนังมันจะดูลงตัวในแนวทางของมันพอดี

อาจด้วยเพราะนี่เป็นการกำกับหนังเรื่องแรกของอดีตนักแสดงเสี่ยงตายอย่าง เจ.เจ. เพอร์รี (J.J. Perry) ซึ่งเคยผ่านงานหนังใหญ่มานับไม่ถ้วน แค่คัดเอาชื่อเด่นเช่น แฟรนไชส์ ‘John Wick’ และ ‘Fast & Furious’ ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อยแล้ว แน่นอนว่าในกรณีเช่นนี้หลายครั้งเราจะเห็นว่าทีมสร้างจะไม่ได้ฝืนเล่าท่ายากอะไรมากและเปิดช่องให้เอาความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบฉากต่อสู้มาเป็นจุดแข็งมากกว่า

และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าพล็อตหนังเรื่องนี้เล่นตามสูตรสำเร็จแบบไม่ขืนอะไรมากเลย โดยเอาไอเดียของมือเขียนบทหน้าใหม่อย่าง ไทเลอร์ ไทซ์ (Tyler Tice) มาให้ เชย์ แฮตเทน (Shay Hatten) ที่มีผลงานหนังแอ็กชันทรงใกล้กันอย่าง ‘Army of the Dead’ (2021) และ ‘Army of Thieves’ (2021) มาช่วยเสริมลูกเล่นแบบไม่ต้องมากแค่พอดูเพลิน

ได้เป็นเรื่องราวของ บั๊ด คุณพ่อถังแตกที่แสดงโดยนักแสดงยอดฝีมือ เจมี่ ฟ็อกซ์ (Jamie Foxx) ต้องดิ้นรนหาเงินก้อนใหญ่มาจ่ายค่าเทอมให้ลูกสาว ก่อนที่อดีตภรรยาจะขายบ้านเอามาจ่ายแล้วพาลูกย้ายเมืองไปอยู่กับแม่ยายซึ่งจะทำให้เขาไม่พบหน้าลูกอีก แต่แย่หน่อยตรงอาชีพเดียวที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำให้บั๊ดได้คือนักล่าแวมไพร์ที่เขาปกปิดทุกคนเอาไว้ และจะกลับไปรับงานเงินดีเลยก็ไม่ได้อีกเพราะนิสัยเหมือนตำรวจห่ามไม่ตามกฎของเขา ทำให้ถูกเฉดหัวจากสหภาพหรือสมาพันธ์นักล่าเมื่อนานมาแล้ว

จังหวะนี้จึงต้องไปขอความช่วยเหลือจาก บิ๊กจอห์น นักล่าคนดังของสหภาพที่แสดงโดยตำนานนักปุ๊น สนูป ด็อกก์ (Snoop Dogg) ให้เข้าไปไกล่เกลี่ยอ้อนวอนหัวหน้าสหภาพให้เขากลับเข้าทำงาน แต่เงื่อนไขที่บั๊ดต้องทำให้ได้คือเขาต้องทำงานคู่กับ เซธ นักล่าป้ายแดงที่เป็นแค่เสมียนของสหภาพ รับบทโดยหนุ่มหน้าหล่ออย่าง เดฟ ฟรังโก (Dave Franco) ที่ต้องมาแหกปากโวยวายและถ่วงแข้งถ่วงขาตามสูตรมือละอ่อน

และเงื่อนไขสำคัญคือบั๊ดต้องรับงานแค่กะกลางวันที่อันตรายน้อยเพราะแวมไพร์ไม่ออกล่ากัน ซึ่งกลายมาเป็นชื่อของหนัง แต่บังเอิญโชคร้ายที่ตอนนี้มีแวมไพร์มาเฟียที่ไม่กลัวการเดินกลางวันออกมาเพ่นพ่านช่วงที่เขาทำงานพอดี

ดูเอาความบันเทิง

ว่ากันตามตรงเรื่องราวส่วนใหญ่เดาได้ไม่ยาก และเป็นอะไรที่สบายหัวดูเพลินได้ไปจนจบด้วยสูตรหนังที่คุ้นเคย ชวนให้นึกถึงความเรียบง่ายของหนังแอ็กชันแบบยุคเก่า ๆ ที่ซับซ้อนน้อยแต่เล่าให้สนุกก็พอ

หนังพยายามทำแนวคู่หูเพิ่มโดยให้มีหนุ่มจากสมาพันธ์ที่โดนไล่ให้มาประกบพระเอกเพื่อจ้องจับผิดว่าทำผิดกฎข้อไหนจะได้ไล่ออก แต่เรื่องก็ไม่ได้เน้นไปทางคู่หูอะไรนัก เพราะหมอนี่ก็เป็นแนวไก่อ่อนธรรมดา แม้ตอนหลังจะมีอัพเกรดเพิ่มพลังขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้มีบทประกบเป็นคู่หูโดดเด่นอะไรกับพระเอก ต่างกับสาวแวมไพร์ตัวดีที่มาช่วงหลังที่กลายมาเป็นจุดสนใจใช้ดาบเป็นอาวุธที่ดูเท่ห์ดี แต่บทก็ออกมาน้อยไม่ได้โชว์ของมาก แล้วก็จบบทไปง่ายๆ ไม่ได้มีสานต่ออะไรอีก

จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่ถือว่าสนุกดูเพลินดีคือ ฉากการต่อสู้กับพวกแวมไพร์ที่สะใจดีเหลือเกิน ตัวเอกอาจมีแค่มีดใหญ่กับปืนลูกซองแต่ก็ใช้พลิกแพลงให้มีท่าพิฆาตได้หลากหลายสมกับที่ผู้กำกับเคยออกแบบคิวบู๊มาโชกโชน และที่แจ๋วเลยคือพวกแวมไพร์ก็ตายยากดีเหลือเกิน แถมยังมีท่าทางประหลาดเหมือนพวกซอมบี้นักกายกรรมอีกต่างหาก ดังนั้นเลยเห็นฉากอัด-ดัด-หักพวกแวมไพร์ไปตั้งแต่หัวยันเท้าเลยทีเดียว ยิ่งไม่ตายก็ยิ่งมัน พวกพระเอกยิ่งได้ฉายฉากฆ่าสุดโหดมากขึ้นเท่านั้น และนี่อาจเป็นสาเหตุให้หนังได้เรต R ไปด้วย แต่ก็รุนแรงสะใจคอหนังบู๊ดีเหลือเกิน แม้จะไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่จนว้าวก็ตาม

Day Shift งานต้องล่า

คนที่ดูหนังมาเยอะน่าจะพอจัดหมวดหนังเรื่องนี้ถูกว่าควรดูเวลาแบบไหน แต่ถ้าใครอยากหาหนังแอ็กชันเข้ม ๆ มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ตื่นตาตื่นใจในฉากบู๊ หรืออยากหาหนังคุณภาพสูงเกรดบล็อกบัสเตอร์ดู คุณก็ไม่น่าจะเปิดดูเรื่องนี้แต่แรกให้เสียอารมณ์อยู่แล้วล่ะมั้ง

สรุปเลยว่าเป็นหนังแอ็กชั่นติดตลกเล่นมุกแวมไพร์ที่พอดูได้ขำๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือน่าจดจำ เนื้อเรื่องกลวงเบาหวิวจนเหมาะกับหนังทำลงสตรีมมิ่งเท่านั้นจริงๆ เป็นหนังในแบบที่เราอยากดูในวันว่าง ๆ อยากบันเทิงเริงใจให้เต็มที่ด้วยบรรยากาศแบบบ้าน ๆ เดิม ๆ คล้ายยุค 80s-90s อะไรแบบนั้น และถ้าจะมีอะไรแนะนำก็คงต้องบอกว่าควรดูพากย์ไทยดีกว่าอ่านซับ เพราะแม้จะแปลได้ใกล้กันแต่แบบพากย์ไทยนั้นได้อารมณ์ถึงใจ เสริมความฮาให้หนังได้ดีกว่ามาก ๆ

หนังเน้นแอ็กชั่นติดตลกเล่นมุกฆ่าแวมไพร์ที่พอดูได้ขำๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือน่าจดจำ ฉากแอ็กชั่นดีฉากแรกกับกลางเรื่อง นอกนั้นก็ค่อยๆ ดรอปลงเรื่อยๆ จนจบไปแบบง่อยมาก ตัวเนื้อเรื่องก็กลวงโบ๋เบาหวิวเหมือนไม่มีอะไรจะเล่า ดูแล้วเหมาะสมกับเป็นหนังทำลงสตรีมมิ่งแค่นั้นจริงๆ

Original title Day shift (2022) งานต้องล่า
IMDb Rating 6.852 287 votes
TMDb Rating 247 315 votes

Director

Director

Cast

Similar titles

Hot Shots! (1991) ฮ็อตช็อต เสืออากาศจิตป่วน
Brave (2007) กล้า หยุด โลก
Alien Warfare
Airplane Mode หนังรักน้ำเน่าเบาสมองจนกลวงโบ๋
6 Days 2017
Beautiful Creatures (2013) แม่มดแคสเตอร์
Deep Blue Sea 3 (2020) ฝูงมฤตยูใต้ 3
Jumanji The Next Level เกมดูดโลก ตะลุยด่านมหัศจรรย์
Silver Linings Playbook (2012) ลุกขึ้นใหม่ หัวใจมีเธอ
Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง (2023)
Isn’t It Romantic รักฉันซึ้งปนฮา
Trapped (2002) กระชากแผนไถ่อำมหิต

Leave a comment