
Decision to Leave ฆาตกรรมรัก หลังเขา
Decision to Leave ในชื่อไทยว่า ‘ฆาตกรรมรัก หลังเขา’ โดยฝีมือผู้กำกับคนดัง พัคชานอุค เจ้าของผลงานดังมากมาย ดูหนังโรแมนติก อาทิเช่น The Handmaiden (2016), Thirst (2009), I’m a Cyborg, But That’s OK (2006), Sympathy for Lady Vengeance (2005), Old Boy (2003), Sympathy for Mr. Vengeance (2002), Joint Security Area (2000) หนังฟรี และเป็นผู้กวาดรางวัลมากมายทั้งเวทีในและต่างประเทศ รวมทั้งรางวัลจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ด้วยหลายครั้งหลายครา ซึ่งล่าสุดก็คือ รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม จากเรื่องนี้เลย นอกจากนี้แล้ว ดูหนังออนไลน์ Decision to Leave ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ซึ่งจะประกาศผลในเดือนมีนาคมปี 2023 ด้วย
ฮจุน เป็นตำรวจสายสืบที่สุขุมต่อคนอื่น ๆ ดูหนังฟรี รอบข้าง แต่กลับเหมือนเป็นอีกคนเมื่อเขาดำดิ่งเข้าสู่การสืบสวนคดีแต่ละคดี และเขาก็ได้รับมอบหมายให้เสาะหาเบาะแสเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตแบบผิดวิถีธรรมชาติที่เกิดขึ้นในย่านหุบเขาแห่งหนึ่ง ที่นั่นทำให้เขาได้พบกับ ซอแร อดีตภรรยาของผู้เสียชีวิตในคดีนี้ แน่นอนว่าเขาสงสัยเธอเป็นลำดับต้น ๆ ในดคีนี้ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งสงสัย เขากลับยิ่งหลงใหลในเธอมากขึ้น เมื่อศพปริศนา ร่วงหล่นลงมาจากยอดเขา นำมาสู่ความสัมพันธ์ต้องห้าม ที่ไม่อาจเลี่ยง “ยิ่งตกหลุมรัก ยิ่งตกหลุมพราง” การตัดสินใจครั้งนี้ กำลังจะเปลี่ยนเธอและเขาไปตลอดกาล
หนังภายใต้ชื่อ พัคชานอุค ย่อมไม่ใช่ธรรมดาสามัญแน่นอน ถ้าเข้าถึงแรงจูงใจและความยูนีคของเขาได้ ก็จะสนุกตามไปกับมิติเนื้อหาที่ทั้งแน่นทั้งแรง และได้เสพย์งานอาร์ตระดับคุณภาพ ซึ่งเกือบทั้งหมดก็จะเป็น Genre แนวหนักโหด สลดระทึก เครียด ๆ แค้น ๆ หรือทิ้งอะไรให้วนเวียนในสมองเราต่อได้อีกหลาย ๆ วันเลย จนตัวเขาเองเคยพลิกมู้ด ทำรอมคอมไว้เรื่องหนึ่งคือ I’m a Cyborg, But That’s OK เพื่อให้ลูกสาวได้มีโอกาสเข้าถึงงานของเขาบ้าง เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก แต่เอาจริงก็ไม่ได้เป็นรอมคอมแบบเบาสมองเลยนะ
Decision to Leave นี้ก็เป็นงานโรมานซ์ที่ก้าวข้ามความธรรมดาไปเป็น โรมานซ์สไตล์นีโอนัวร์ เขาบอกไว้ว่าตั้งใจที่จะทำหนังในโทนที่ไม่โฉ่งฉ่าง แต่มิใช่ว่าจะให้เงียบงันจากการจำกัดบทพูด เอาจริง บทพูดเรื่องนี้กลัยเยอะกว่าเสียอีก เพราะเขาอยากจะแทนคำว่า ‘ฉันรักคุณ’ ด้วยการบรรจงถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกนั้นออกมามากกว่า
การเดินเรื่องจึงค่อนไปทาง Slow-burn ค่อย ๆ เพาะบ่มอารมณ์ควบไปกับท้องเรื่องของการไขปริศนาคดีสืบสวนระทึกขวัญเบา ๆ เคล้าดราม่า เป็นที่น่าทึ่งว่ารายละเอียดของบทพูด ภาพ เสียง ล้วนมีอะไร ๆ ให้เก็บให้อินกันทุกเม็ดจริง ๆ จนการชมรอบเดียวคงเก็บได้ไม่หมดเป็นแน่
แฮจุน (รับบทโดย พัคแฮอิล) ตำรวจสายสืบผู้หมกมุ่นจริงจังกับงาน จนชวนสงสัยได้ว่า เพราะงานทำให้เขาเป็นโรคเครียดนอนไม่หลับอย่างรุนแรง หรือว่าเพราะการนอนไม่หลับเลยทำให้เขาบ้างาน (ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าอย่างหลัง)
เขามีลักษณะของ OCD อ่อน ๆ ที่หมกมุ่น เก็บรายละเอียดทุกเม็ด ต้องสมบูรณ์แบบ เป็นระเบียบเรียบร้อย ใส่ใจจดจำแม้แต่กับตัวเลข เขาทำงานอยู่ในปูซาน สุดสัปดาห์จึงค่อยกลับบ้านทีได้เจอภรรยา จองอัน (รับบทโดย อีจองฮยอน) ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ชายฝั่งที่มีแต่หมอกปกคลุม ส่วนลูกชายก็พักอยู่หอหมกมุ่นกับการเรียน (เหมือนพ่อไม๊หละ!)
แฮจุนและรุ่นน้องผู้ช่วย ซูวอน (รับบทโดย โกคยองพโย) เข้าไปทำคดีตายปริศนาของ กีโดซู (รับบทโดย ยูซึงมก) นักปีนเขาสมัครเล่นที่ตกจากยอดเขาชัน ซึ่งอาจเป็นการฆาตกรรมก็ได้ แฮจุนได้พบกับภรรยาผู้ตาย ซอแร (รับบทโดย ถังเหว่ย) ที่อายุคราวลูก เป็นชาวจีนหลบเข้าประเทศเมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่ถูกส่งตัวกลับ เพราะกีโดซูที่เป็นเจ้าหน้าที่ตม. และอีกเหตุผลคือการค้นพบเกียรติภูมิของต้นตระกูลเธอที่เป็นนักรบเลือดรักชาติเกาหลี
ในทางวิชาชีพและหน้าที่การงาน แฮจุนย่อมต้องสงสัยในตัวซอแรเป็นพิเศษ เพราะเธอออกอาการพิรุธในระหว่างการสอบปากคำ และยังมีหลักฐานบางอย่างที่ทำให้เธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยด้วย แต่ในทางจิตใจ ดูเหมือนว่าความหมกมุ่นของเขาจะควบก้ำกึ่งทั้งในมุมของงานและความรู้สึกส่วนตัวบางอย่าง การตามสืบสอดส่อง เฝ้าเช้าเฝ้าค่ำ
และการปฏิบัติต่อเธอจึงดูแปลกตาพิเศษเกินเลย จนลูกน้องยังชวนกังขา นั่นคือคำถามที่เพาะไว้ในใจผู้ชมให้คิดและติดตาม ใคร่รู้ว่าผลการสืบคดีจะเป็นอย่างไร ซอแรจะมีความผิดไหม และแฮจุนมีใจให้ซอแรใช่หรือไม่
แม้จะได้คำตอบในใจพักไว้แล้ว แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกค่อนเรื่องที่เหลือก็ยังพาให้เราแกว่ง ย้อนกลับมาคิดทบทวนทุกสิ่งใหม่อีกในอารมณ์ที่ว่า อะไร ๆ ก็ดูอึมครึมคลุมเครือไปหมด
บทที่มองโดยผิวเผินอาจดูเรียบง่ายแต่มีความแยบยลละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่ละเมียดละไม ชวนตกภวังค์หลงใหลตาม ดูเหมือนจะเนิบ ๆ แต่มวลอารมณ์ท่วมท้น ผนวกกับพลังของนักแสดงที่รับส่งให้กันอย่างเยี่ยม ส่งให้กลายเป็นหนังรักในอีกรูปแบบที่ฟินระทึก อบอุ่นอ้างว้าง สุขสลด ช่างเป็นคำคุณศัพท์ที่ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้เลยเนอะ มันจึงให้ความรู้สึกสดใหม่มากอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน
คำแนะนำในการดูเรื่องนี้ก็คือ จะเสพความสวยงามที่ไม่ได้มากับความหวานชื่นนี้ได้ต้องใช้ใจค่อย ๆ ดูไปอย่างไม่รีบร้อน และต้องถอดกรอบแบบเดิม ๆ ของความคิดแนว ‘แมส’ พักวางไว้ก่อน ทุกบทพูด ทุกการกระทำสื่อนัยความหมาย และส่งต่อความเกี่ยวพันกันหมดทั้งเรื่อง ความเรียบง่ายที่มีเรื่องราวสวยงามทรงพลัง สะท้อนชัดจากโปสเตอร์ ยิ่งถ้าดูจบแล้วกลับมาดูโปสเตอร์อีกครั้ง จะยิ่งรู้สึกได้ว่าคุมโทนคุมคอนเซ็ปต์อยู่จริง ๆ เลย
ถังเหว่ย สวมบทบาทของ ‘ซอแร’ ได้อย่างมีมิติ ให้ภาพทั้งด้านซื่อใสตรงไปตรงมา และด้านเทา ๆ ที่มีเจตนาซ่อนเร้นน่าค้นหา เป็นคนต่างด้าวที่ไร้เดียงสาน่าสงสารได้ ความอ่อนภาษาเกาหลี ไม่เข้าใจวัฒนธรรมแตกต่างที่แสดงออกมาได้อย่างน่าเอ็นดู จะเสน่ห์ธรรมชาติก็ดี หรือเสน่ห์เย้ายวนที่ชวนหนาวก็ได้ แม้กระทั่งการสื่อความร้าวรานใจภายใต้บุคลิกที่แกร่งเข้มแข็ง
พัคแฮอิล เป็นแคสต์ที่ลงตัวจริง ๆ เพราะสีหน้าแววตาอารมณ์แบบนี้ คงพอเคยเห็นบ้างจากผลงานที่เคยผ่านมา เขาถ่ายทอดความลุ่มหลงจากภายในออกมาทางแววตาและท่ามกลางท่าทีและคำพูดแสนธรรมดา จะเรียกว่าเป็นอีกรูปแบบของความซึนเดเระก็พอไหวนะ แบบพอดีพองามเป็นธรรมชาติ แฝงเคอะเขินได้น่าเอ็นดู ในหลาย ๆ ฉากเขาทำให้เราอมยิ้มขำ ๆ ได้เลยนะ พัคแฮอิลคืออีกหนึ่งนักแสดงที่ใช้สายตาได้ลึกซึ้งสะเทือนอารมณ์ดีมากจริง ๆ
นอกจากนี้ ก็ยังมีนักแสดงร่วมสมทบอีกหลายต่อหลายคน บทคนละเล็กละน้อย เช่น พัคยงอู ซนฮยอนอู พัคจองมิน อีฮักจู ยูแทโอ ชเวแทฮุน คิมชินยอง โกมินซี เป็นต้น และอยากขอยกให้ Smart watch เป็นอีกหนึ่งตัวเอกและมีบทบาทสำคัญในเรื่องด้วย
งาน Cinematography เป็นหัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้ที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย สวยงามสดใหม่แตกต่าง การเลย์ซาวน์ ดี สกอร์ซาวน์แปลก ไม่โฉ่งฉ่าง (สมแนวทางที่ผู้กับวางไว้) แต่ได้อารมณ์มาก เช่น ซาวน์เสียงแหลมกรีดใจในฉากลุ้นความในใจ รวมถึงเพลงธีมที่เลือกมาก็ดีมาก ๆ ทั้งเนื้อหาที่เล่นกับ ‘หมอก’ เข้ากับเมือง และเข้ากับนัยน์ตาพร่ามัวของแฮจุน ท่วงทำนองก็ไพเราะเข้ากับบุคลิกตัวละครได้
งานภาพคือยิ่งได้เห็นช็อตแปลกตา สื่ออารมณ์และนัยความหมายได้ดี เช่น เล่าอารมณ์ความรู้สึก ‘อยาก’ ให้สมจริง ด้วยการจินตนาการเอาตัวเข้าไปอยู่ร่วมเฟรมร่วมเหตุการณ์ที่มองอยู่คิดอยู่ (จนผู้ชมบางคนอาจเผลองงได้) การซ้อนภาพสองอย่างหรือสองช็อตในเฟรมเดียวกัน ให้อารมณ์แปลกๆแนว ‘ถลำ‘ เข้ากับความถลำใจของตัวเอกด้วย
นี่เป็นหนังสืบสวนสอบสวน ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศความโรแมนติก ดราม่า แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาก เรียกได้ว่าบทถูกเขียนมาอย่างชาญฉลาดและละเมียดละไมเป็นอย่างมาก บทมันเจ๋งมาก แรก ๆ เราจะรู้สึกเหมือนหนังสืบสวนสอบสวนทั่วไปเกี่ยวกับคดีหนึ่ง แต่ยิ่งหนังดำเนินไปคุณจะสัมผัสได้ว่านี่มันคือหนังรักที่แบคกราวเป็นการสืบคดี
หนังปูเรื่องความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างนักสืบหนุ่มและผู้ต้องสงสัยสาวได้เป็นอย่างดี มีการพัฒนาตัวละครและความสัมพันธ์ตลอดเวลา ครึ่งเรื่องแรกมันจะมีความกระอักกระอ่วนในความสัมพันธ์ของทั้งสอง พร้อม ๆ กับสร้างความรู้สึกบางอย่างแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบอกไม่ถูกให้กับคนดูไปด้วย ประมาณว่า เอ๊ะ เราต้องรู้สึกยังไงกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีนะ มันชวนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ไม่ใช่น้อย แต่มันก็ตรึงให้เราอยู่กับเรื่องราวได้ตลอด พร้อมดึงเราด้วยคำถามว่าความสัมพันธ์นี้มันจะลงเอยอย่างไร
ในแง่ของการสืบสวน เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้ซับซ้อนหรือหวือหวาอะไรมาก คาดเดาไม่ยากว่าใครเป็นคนก่อเหตุในครั้งนี้ แต่ก็คาดเดาไม่ง่ายว่ามันจะลงเอยคดีนี้อย่างไร ซึ่งผ่านมาครึ่งเรื่องที่เหมือนทุกอย่างจะคลี่คลาย จนเราแอบตะหงิด ๆ และคิดในใจว่า “จะจบแบบนี้จริง ๆ หรอ ไม่เอาน่า” ซึ่งหนังก็ไม่ได้เลือกจะจบแบบนั้นและสานต่อเรื่องราวจนหาทางลงได้อย่างที่มันควรจะเป็น และย้ำอีกครั้งว่าหนังไม่ได้เน้นการสืบสวนคดีขนาดนั้น แต่มันคือหนังรักที่มีแบ็คกราวเป็นการสืบคดีคอยขับเคลื่อนเรื่องราว และหนังก็ผูกเรื่องราวทั้งความสัมพันธ์และตัวคดีได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ
การแสดงต้องบอกเลยว่าไร้ที่ติทั้งคู่เลย ทั้ง ถังเหว่ย ในบท ซอแร ที่เล่นได้มีเสน่ห์จริง ๆ และ พัคแฮอิล ในบท แฮจุน ก็รับหน้าที่นักสืบเล่นได้ธรรมชาติ ทั้งซีนปกติและซีนอารมณ์ เรียกได้ว่าทั้งคู่แบกหนังเอาไว้ได้ทั้งเรื่องเลย
การถ่ายทำเรื่องนี้แพรวพราวมาก ทั้งมุมกล้อง การจัดแสง โดยเฉพาะการตัดต่อที่ล้ำมาก ซีนผ่านดวงตา หรือซีนตอนสืบคดี ที่ตัว แฮจุน จะเข้าไปเหมือนอยู่กับ ซอแร รวมถึงทรานซิชั่นและอีกมากมาย ทั้งล้ำ ทั้งเท่ และร้อยเรียงเรื่องราวได้อย่างไม่สะดุด